บุคคลผู้มีอำนาจฟ้องคดีอาญา
มาตรา 28 บัญญัติว่า " บุคคลเหล่านี้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล "
(1). พนักงานอัยการ
(2). ผู้เสียหาย "
1.พนักงานอัยการ
ตามบทนิยามความหมายของคำว่า " พนักงานอัยการ " ในมาตรา 2(5) ดังกล่าว บุคคลที่กฏหมายบัญญัติให้เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลในฐานะเป็น " พนักงานอัยการ " ตามมาตรา 28(1) นั้น หมายถึงเจ้าพนักงานดังต่อไปนี้ คือ
(ก) ข้าราชการในกรมอัยการ และ
(ข) เจ้าพนักงานอื่นผู้มีอำนาจเช่นนั้น
สำหรับคำว่า " ข้าราชการในกรมอัยการ " นั้น ในปัจจุบัน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 วรรคห้า บัญญัติให้องค์กรอัยการเป็น องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ มีหน่วยงานธุรการที่เป็นอิสระในการบริหารงานบุคคล การงบประมาณและการดำเนินการอื่นๆ โดยมีอัยการสูงสุดเป็นผู้บังคับบัญชา ทั้งนี้ตามที่กฏหมายบัญญัติและตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า องค์กรอัยการประกอบด้วย ก.อ. ( คณะกรรมการอัยการตามกฏหมายว่าด้วยระเบียบพนักงานอัยการ ) อัยการสูงสุด และพนักงานอัยการอื่น โดยมีสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นหน่อยธุรการ และมาตรา 7 วรรคสอง ส่วนมาตรา 7วรรคสาม บัญญัติว่า ข้าราชการฝ่ายอัยการซึ่งตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 6 แบ่งออกเป็นข้าราชฝ่ายอัยการ ประเภทหนึ่ง และ ข้าราชการธุรการ อีกประเภทหนึ่ง ให้สังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด มาตรา 11 ส่วนอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการเฉพาะที่เกี่ยวกับในคดีอาญานั้น มาตรา 14(2) กำหนดให้พนักงายอัยการมีอำนาจและหน้าที่ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา และตามกฏหมายอื่นซึ่งบัญญัติว่าเป็นอำนาจและหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุดหรือพนักงานอัยการ สำหรับเขตอำนาจของพนักงานอัยการ มาตรา 15 บัญญัติว่า อัยการสูงสุดและรองอัยการสูงสุดมีอำนาจดำเนินคดีได้ทุกศาล อธิบดีอัยการภาคมีอำนาจดำเนินคดีได้ทุกศาลภายในภาค พนักงานอัยการผู้อื่นมีอำนาจดำเนินคดีได้เฉพาะศาลแห่งท้องที่ที่พนักงานอัยการผู้นั้นรับราชการประจำื เว้นแต่
(1) เมื่ออัยการสูงสุดมีคำสั่งให้พนักงานอัยการซึ่งรับราชการประจำในท้องที่หนึ่ง ไปช่วยราชการในอีกท้องที่หนึ่งชั่วคราว หรือให้ไปดำเนินคดีเฉพาะเรื่อง หรือเมื่ออธิบดีอัยการภาคได้มีคำสั่งให้พนักงานอัยการซึ่งรับราชการประจำในท้องที่หนึ่งภายในภาคไปช่วยราชการในอีกท้องที่หนึ่งชั่วคราว หรือให้ไปดำเนินคดีเฉพาะเรื่องภายในภาค ให้พนักงานอัยการผู้นั้นมีอำนาจดำเนินคดีในศาลประจำท้องที่นั้นได้ และให้มีอำนาจดำเนินคดีได้ตลอดถึงศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา หรือ ศาลปกครองสูงสุดแล้วแต่กรณี
(2) เมื่ออธิบดีอัยการภาคมีคำสั่งให้พนักงานอัยการซึ่งรับราชการประจำในภาคมีอำนาจดำเนินคดีทุกศาลภายในภาค ให้พนักงานอัยการผู้นั้นมีอำนาจดำเนินคดีในศาลทุกศาลภายในภาคนั้นได้ และให้มีอำนาจดำเนินคดีได้ตลอดถึงศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา หรือ ศาลปกครองสูงสุด แล้วแต่กรณี
(3) เมื่อคดีที่พนักงานอัยการได้ดำเนินไว้ในศาลชั้นต้นขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หรือ ศาลฎีกา พนักงานอัยการผู้ดำเนินคดีนั้น หือพนักงานอัยการผู้อื่นซึ่งประจำศาลชั้นต้นนั้น หรือ พนักงานอัยการอื่นซึ่งได้รับแต่งตั้้งหรือได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดมีอำนาจในการดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกาได้
(4) ในคดีที่ศาลส่งประเด็นสืบพยานไปยังศาลอื่น หรือ โอนคดีไปพิจารณายังศาลอื่น พนักงานอัยการประจำศาลอื่นนั้น หรือพนักงานอัยการผู้ดำเนินคดีมาแต่ต้น หรือพนักงานอัยการซึ่งประจำศาลที่ดำเนินคดีมาแต่ต้น มีอำนาจดำเนินคดีนั้น ในศาลที่สืบพยานตามประเด็น หรือศาลที่รับโอนคดีนั้น
ส่วนมาตรา 16 บัญญัติถึงอำนาจพิเศษของพนักงานอัยการในการปฏิบัติหน้าที่ว่าในการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่เฉพาะในคดีที่ต้องตั้งต้นที่พนักงานอัยการ หรือในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการตาม รัฐธรรมนูญหรือตามกฏหมายอื่นใด ให้พนักงานอัยการมีอำนาจแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน เอกสารหรือวัตถุ และดำเนินการอื่นตามที่เห็นสมควร รวมทั้งอาจแจ้งให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินการใดตามที่เห็นสมควรก็ได้ แต่ทั้งนี้ ถ้าผู้ที่ได้รับคำสั่งนั้นเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือเป็นผู้ถูกกล่าวหา บุคคลดังกล่าวจะไม่มาหรือไม่ให้ถ้อยคำหรือ ไม่ส่งพยานหลักฐาน เอกสารหรือวัตถุตามที่เรียกก็ได้
สำหรับอำนาจในการสอบสวนคดีอาญานั้น มาตรา 17 บัญญัติว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการในกรณีที่กฏหมายกำหนดให้อำนาจและหน้าที่ในการสอบสวนคดีอาญาซึ่งมิใช่การร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวนหรือร่วมทำสำนวนสอบสวนกับพนักงานสอบสวน ให้พนักงานอัยการมีอำนาจและหน้าที่ในการสอบสวนเช่นเดียวกับพนักงานสอบสวน ทั้งนี้ ให้พนักงานอัยการเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่และมีอำนาจหน้าที่ตามกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยในการค้น การจับ และการคุมขัง อาจร่วมกับเจ้าพนักงานตำรวจ หรือเจ้าพนกังานอื่น หรือแจ้งให้พนักงานตำรวจ หรือเจ้าพนักงานอื่นดำเนินการก็ได้
ส่วนคำว่า " เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจเช่นนั้น " ในมาตรา 2(5) นั้นหมายความถึง เจ้าพนักงานอื่นผู้มีอำนาจฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับบทบัญญัติของกฏหมายที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษให้เจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลได้ เช่น ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บิโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 39 วรรคหนึ่ง และมาตรา 39 วรรคสอง ดังนั้น เจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคที่คณะกรรมการแต่งตั้งขึ้นตามกฏหมายพิเศษฉบับนี้จึงถือได้ว่าเป็น " เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจเช่นนั้น " และย่อมมีฐานะเป็น " พนักงานอัยการ "
* พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการในฐานะผู้ให้ประกันมีอำนาจฟ้องนายประกันเพื่อบังคับตามสัญญาประกันได้
อนึ่งเกี่ยวกับกรณีการฟ้องบังคับตามสัญญาประกันตัวผู้ต้องหา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 106 และ มาตรา 113 นั้น หากผู้ประกันผิดสัญญาประกันกับพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับตามสัญญาประกันได้ แม้ตำแหน่งพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการจะไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลก็ตาม
คำพิพากษาฎีกาที่ 7930/2544 แม้พนักงานสอบสวนจะไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่ก็เป็นบุคคลธรรมดา ซึ่งโดยตำแหน่งหน้าที่ราชการอันกฏหมายกำหนดไว้ให้มีอำนาจทำสัญญาประกันได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 106 และ 113 ฉะนั้น จึงย่อมมีอำนาจที่จะฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาประกันในฐานะเจ้าพนักงานตามอำนาจแห่งหน้าที่โดยชื่อตำแหน่งหน้าที่ของตน ดังนี้ เมื่อจำเลยทำสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาไปจากการควบคุมของเจ้าพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธร บ.ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 112 และจำเลยผิดสัญญาประกันดังกล่าว พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธร บ. ย่อมมีอำนาจเป็นโจทย์ฟ้องจำเลยตามสัญญาประกันได้ *กรมตำรวจไม่ใช่พนักงานสอบสวนและมิได้เป็นคู่สัญญากับจำเลย จะฟ้องเองหรือมอบอำนาจให้ฟ้องหาได้ไม่
2. ผู้เสียหาย
สำหรับบุคคลประเภทที่ 2 ที่มาตรา 28(2) บัญญัติให้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล คือ " ผู้เสียหาย " นั้น หมายวามรวมทั้งผู้เสียหายโดยตรงและบุคคลผู้มีอำนาจจัดการแทนตามมาตรา 4, 5 และ 6 ด้วย ดังที่บัญญัติไว้ในบทนิยามความหมายในมาตรา 2 (4) ทั้งนี้เพราะมาตรา 3(2) ก็บัญญัติให้บุคคลดั่งระบุไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6 มีอำนาจ " เป็นโจทย์ฟ้องคดีอาญาหรือเข้าร่วมเป็นโจทย์กับพนักงานอัยการ "
และมาตรา 3(3) ก็บัญญัติให้มีอำนาจ " เป็นโจทย์ฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา " ด้วย
*อำนาจฟ้องคดีของผู้เยาว์และผู้ไร้ความสามารถและการแก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถ
ป.วิ.อ. มาตรา 5 และมาตรา 6 ได้บัญญัติกำหนดตัวบุคคลผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เยาว์และผู้ไร้ความสามารถไว้โดยเฉพาะแล้ว ดังนั้น ผู้เยาว์ซึ่งเป็นผู้เสียหายแม้ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก็ไม่สามารถยื่นฟ้องคดีอาญาหรือเข้าร่วมเป็นโจทย์กับพนักงานอัยการตามมาตรา 30 ได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 563/2517 ผู้เยาว์แม้จะได้รับความยินยอมจากบิดา ก็ไม่สามารถเข้าเป็นโจทย์ร่วมฟ้องคดีอาญาได้
*ศาลชอบจะสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถในการดำเนินคดีของคู่ความเสียก่อน เว้นแต่กรณีที่ไม่จำเป็นเพราะไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด
บุคคลล้มละลายถูกกฏหมายจำกัดอำนาจฟ้องหรือต่อสู้คดีเฉพาะคดีแพ่งเท่านั้น
คำพิพากษาฎีกาที่ 3902/2549 โจทย์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ถูกศาลแพ่งพิพากษาให้ล้มละลาย บริษัทโจทย์ย่อมเลิกกันตามประมวลกฏหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 1236(5) แต่ตามมาตรา 1249 ให้พึ่งถือว่าบริษัทโจทย์ยังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี และการชำระบัญชีของโจทย์อันเป็นบริษัทจำกัดซึ่งล้มละลายให้จัดทำไปตามบทกฏหมายลักษณะล้มละลายตามแต่จะทำได้ตามประมวลกฏหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 1247 วรรคแรก และ ซึ่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 มาตรา 24 มาตรา 25 จำกัดอำนาจในการจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของลูกหนี้ซึ่งเป็นโจทย์คดีนี้แต่เฉพาะในทางแพ่งเท่านั้น ไม่รวมถึงการฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีอาญาด้วย
โจทย์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาบุกรุก มิได้มีคำขอบังคับในส่วนแพ่งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายหรือขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ กรณีจึงไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22(3) ที่โจทก์จะต้องดำเนินการฟ้องร้องโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แต่เป็นกรณีโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายโดยกรรมการผู้มีอำนาจสามารถฟ้องร้องคดีอาญาได้เอง ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 3(2) และ 5(3) ประกอบกับมาตรา 28 (2) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องและมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ได้
พนักงานอัยการและผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องแยกเป็นอิสระ
อำนาจฟ้องของพนักงานอัยการและผู้เสียหายตามมาตรา 28 เป็นอำนาจของพนักงานอัยการและอำนาจของผู้เสียหายแยกเป็นอิสระห่างจากกัน ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติเรื่องการรวมพิจารณาคดีความอาญาเรื่องเดียวกันของพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นคดีเดียวกันตามมตรา 33 ได้บัญญัติว่า " คดีอาญาเรื่องเดียวกันซึ่งทั้งพนักงานอัยการและผู้เสียหายต่างได้ยื่นฟ้องในศาลชั้นต้นเดียวกันหรือต่างศาลกัน.."
อีกทั้งมาตรา 34 ก็รับรองสิทธิของผู้เสียหายในกรณีที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีด้วยว่า " คำสั่งไม่ฟ้องคดีหาตัดสิทธิผู้เสียหายฟ้องคดีโดยตนเองไม่ " ดังนั้น อำนาจฟ้องของพนักงานอัยการและผู้เสียหายตามมาตรา 28 จึงเป็นอำนาจที่แต่ละฝ่ายต่างมีอำนาจเป็นอิสระแยกต่างหากจากกัน จะนำหลักเรื่องฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 มาบังคับใช้ในกรณีเช่นนี้ไม่ได้
*คำพิพากษาฎีกาที่ 1646-1469/2515 แม้ผู้เสียหายจะได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาไว้สำนวนหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีกฏหมายจำกัดอำนาจพนักงานอัยการมิให้ฟ้องจำเลยนั้นในเรื่องเดียวกัน เป็นคดีใหม่อีกสำนวนหนึ่ง
อำนาจฟ้องคดีอาญาในกรณีที่มีผู้เสียหายหลายคน
คดีอาญาเรื่องเดียวที่มีผู้เสียหายหลายคน เช่นจำเลยขับรถยนต์โดยสารประมาทพลิกคว่ำ ทำให้คนโดยสารที่นั่งมาในรถยนต์บางคนถึงแก่ความตาย บางคนได้รับอันตรายสาหัส และบางคนได้รับอันตรายแก่กาย หรือ จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นเหตุให้มีบุคคลหลายคนต้องเสียสิทธิในที่ดินไปโดยตรง ( คำพิพากษาฎีกาที่ 2224/2536 ) หรือจำเลยกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ด้วยการโอนที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์รายเดียว แต่มีผู้เสียหายหลายราย เป็นต้น ในคดีอาญาที่มีผู้เสียหายหลายคน เช่นนี้ แม้ความผิดกรรมเดียว และ และผู้เสียหายคนใดคนหนึ่งได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยผู้กระทำผิดไปแล้ว ก็หาเป็นการตัดสิทธิผู้เสียหายคนอื่นๆ ที่ยื่นฟ้องจำเลยในคดีเรื่องเดียวกันนั้นอีกไม่ เพราะ ป.วิ.อ. มิได้มีบัญญัติห้ามผู้เสียหายคนอื่นฟ้องผู้กระทำผิดอีก และกรณีเช่นนี้ก็ไม่เป็นฟ้องซ้อน อันจะต้องห้าม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 เพราะผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ในคดีหลังเป็นคนละคนกับผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ในคดีแรก
ข้อสังเกต
(1) ผู้เสียหายคนใดถอนฟ้องย่อมไม่กระทบสิทธิของผู้เสียหายรายอื่นที่จะฟ้องจำเลยได้อีก
(2) ถ้าคดีของผู้เสียหายคนหนึ่งคนใด ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว อำนาจฟ้องของผู้เสียหายคนอื่นในคดีอาญาเรื่องเดียวกันนั้นเป็นอันระงับไปตามมาตรา 39 (4)
(3) ผู้เสียหายคนหนึ่งจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับผู้เสียหายอีกคนที่ยื่นฟ้องไว้แล้วไม่ได้
(4) การรวมพิจารณาคดีอาญาเรื่องเดียวกันตามมาตรา 33 เป็นการรวมพิจารณาคดีของพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นคดีเดียวกัน
(5) คดีเกี่ยวเนื่องกันอาจรวมพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 28 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ได้
(6) ผู้เสียหายหลายคนมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีเป็นคู้ความร่วมได้
References
คำอธิบาย กฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา เล่ม 1
หน้า 465-480
โดย อาจารย์ ธานิศ เกศวพิทักษ์
พิมพ์ครั้งที่ 9 เดือน มกราคม 2555
visit this site right here horse dildo,sex chair,male masturbator,horse dildo,vibrators,dildos,dog dildo,cheap sex toys,realistic dildo pop over here
ตอบลบjoya shoes 420d2vebqt269 joya sko,joya sko,joya skor,Cipő joya,zapatos joya,joya schoenen verkooppunten,Scarpe joya,chaussures joya,joya schuhe wien,joya schuhe joya shoes 730z8qgfiz333
ตอบลบ